'Wall-E' ถึงจะผ่านมา 11 ปี แต่เรื่องราวความรักที่แฝงด้วยนัยยะของสังคมยังเป็นที่จดจำ

Wall-E

ผู้ชมที่เป็นสาวกแอนิเมชันจาก 'Pixar' ต่างรู้กันดีว่า แอนิเมชันเรื่องหนึ่งไม่ได้ถูกจดจำในฐานะผลงานที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสร้างสรรค์ เต็มไปด้วยความตื่นเต้น หรือมากไปด้วยความสนุกสนานเท่านั้น แต่การสื่อสารข้อความอะไรบางอย่างออกไปถึงผู้ชม แง่คิดของชีวิต บวกกับองค์ประกอบที่สวยงามของภาพ นั้นเป็นจุดเด่นที่ทำให้แอนิเมชันจากพิกซาร์ยังอยู่ในใจของผู้ชมทั่วโลก หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น 'Wall-E' แอนิเมชันสุดคลาสสิคที่มเนื้อหาแฝงไปด้วยประเด็นทางสังคมที่ค่อนข้างทันสมัย

Wall-E

Wall-E

Wall-E เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยหุ่นยนต์สนิมเกาะตัวหนึ่ง มันทำหน้าที่เก็บกวาดขยะที่มนุษย์ทิ้งเอาไว้บนโลกจนก่อเกิดให้เกิดของเสียและมลพิษเป็นเวลานานนานกว่าร้อยปี ซึ่งกิจวัตรที่ Wall-E ทำนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ วันหนึ่งมันได้พบกับ 'Eve' หุ่นยนต์สำรวจสุดไฮเทคที่ถูกส่งมายังโลกเพื่อตามหาต้นไม้ ทั้งสองได้มีโอกาสพบและทำความรู้จักกันจนกระทั่งตกหลุมรัก แต่แล้วช่วงเวลาแห่งความสุขก็ต้องจบลง เพราะ Eve ถูกเรียกตัวกลับไปยังยานแอ็กเซียมที่เหล่ามนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้ลี้ภัยในอวกาศ ซึ่ง Wall-E ก็แอบติดสอยห้อยตามขึ้นไปด้วย เรื่องราวการผจญภัยจึงเริ่มต้นขึ้น

Wall-E

Wall-E เข้าฉายครั้งแรกในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2008 หากนับถึงตอนนี้ก็เป็นเวลากว่า 11 ปีแล้ว เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันผลงานการกำกับของ 'แอนดรูว์ สแตนตัน' ที่เคยฝากฝีมือเอาไว้ในแอนิเมชันสุดประทับใจ อย่าง Finding Nemo (2003) อีกทั้งยังควบตำแหน่งเขียนบทร่วมกับ 'จิม แรดอน' ให้เสียงพากษ์โดย เบน เบิร์ท, เอลิซา ไนต์, เจฟ การ์ลิน, เฟรด วิลลาด, จอห์น ราทเซนเบอร์เกอร์, แคธี นาจิมี และซิกอร์นีย์ วีเวอร์

Wall-E

Wall-E นับว่าเป็นแอนิเมชันที่ประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้ กวาดเงินไปทั่วโลกกว่า 533 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุกสร้างแค่เพียง 180 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นผลงานที่ได้รับคำชมล้นหลามจากนักวิจารณ์ โดยเฉพาะเนื้อหาที่วิพากษ์ระบบบริโภคนิยม การละเลยสิ่งแวดล้อม และการเสพติดเทคโนโลยีของผู้คนในยุคนี้

Wall-E

ภาพประกอบ Disney Pixar

MORE READ
COMMENT