"ไม่ว่าช้าหรือเร็วเราต้องรับผิดชอบกับสังคมที่มันเกิดขึ้น ฉะนั้นเราเลยคิดว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองหรือว่าการสนใจทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ก็เหมือนกับการที่เราสนใจ หรือว่ามีส่วนร่วม หรือมีแนวทางในการปฏิบัติเพื่ออนาคตของตัวเราเอง ที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้" อลิส-อ้อมทิพย์ เกิดผลานันท์ นิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตอนแรกเราตั้งใจจะทำเป็นโปรเจ็กต์ที่ชื่อว่า Utopia ซึ่งเป็นแนวๆ Sci-fi ล้ำยุคนิดนึง แต่เนื่องจากความไม่พร้อมทั้งเวลาและงบประมาณ ดังนั้นเราจึงลดสเกลลงมาเป็นเรื่องนี้
เราตั้งใจเลือก Setting ที่เป็นวันรัฐประหาร เพราะเรารู้สึกว่าวันรัฐประหารปี 2557 เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ซึ่งคนรุ่นเรากำลังประจักษ์อยู่ แล้วมันกำลังทำให้ถูกลืม เราก็เลยคิดว่าเหตุการณ์วันนั้นมันไม่ควรถูกลืม และควรถูกจำ แต่ไม่ใช่ในฐานะอะไรก็ตามแต่ควรถูกจำในฐานะวันที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์
เราเชื่อว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคนอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไร หรือว่านโยบายที่มันมีการตัดสินใจอะไรโดยรัฐสภาหรือรัฐบาลมันส่งผลกระทบทุกอย่างของคนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ หรือรวมถึงคนที่อยู่ต่างประเทศแล้วมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยนี้ด้วย เราเลยคิดว่าตัวการเมืองจริงๆแล้วถ้ามองลึกลงไปมันมีผลกระทบกับทุกๆคน
สอง คือ เราอยู่ในสังคมที่เรามีการพูดถึงเรื่องการเมือง และเราอยู่ในสถานะที่เราสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้หนึ่งเราเป็นนักศึกษาเราไม่ต้องมากังวลว่านายจ้างจะกดดันเราให้เราลาออกไหมถ้าเราไปทำกิจกรรมทางการเมือง อีกประการหนึ่งเราคิดว่า ถ้าเราอยู่ในส่วนที่ทำอะไรได้เราก็อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น
เราคิดว่าการเมืองจริงๆ ถ้าพูดถึงในเชิงคนรุ่นใหม่ จริงๆสุดท้ายมันก็ไม่ใช่เรื่องของคนรุ่นใหม่หรอกมันก็ต้องเป็นคนทุกรุ่นมาทำเรื่องการเมืองด้วยกัน แต่ว่าถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ เรากำลังจะใช้ชีวิตกับอนาคตข้างหน้าฉะนั้นเราจะต้องรับผลกระทบจากสิ่งที่มันเกิดขึ้นทางการเมืองจากตอนนี้ ทำให้ไม่ว่าช้าหรือเร็วเราต้องรับผิดชอบกับสังคมที่มันเกิดขึ้น ฉะนั้นเราเลยคิดว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองหรือว่าการสนใจทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ก็เหมือนกับการที่เราสนใจ หรือว่ามีส่วนร่วม หรือมีแนวทางในการปฏิบัติเพื่ออนาคตของตัวเราเอง ที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้และเป็นความร่วมมือของคนทุกฝ่าย
แรงบันดาลใจของการเลือกประเด็นการเมืองมาคุยในครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน จริงๆมันก็เป็นเรื่องจริงที่มันเกิดขึ้นกับคนรุ่น First Voter เอง ความขัดแย้งที่มันประจักษ์จริงๆ คือช่วงยุค กปปส ด้วยความที่สมัยนั้นมันยังไม่เคย เหมือนมาครั้งแรกก็ขัดแย้งกันเลย มันกระทบถึงความสัมพันธ์ ระหว่างคนในครอบครัว แล้วก็เพื่อนเองด้วยที่มันไม่เคยมีโอกาส หรือมันไม่สามารถได้พูดความคิดเห็นทางการเมืองกันตรงๆ เพราะเมื่อก่อนมันอาจไม่ได้ถูกพูดถึงหรือเราอาจจะไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก แต่พอมันมาประสบ หรือว่ามาใกล้ชิดกับเราจริงๆ มันเป็นครั้งแรกที่เราจำเป็นต้องพูด แล้วมันคือการรับมือกับมัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับมือกับมันได้ยังไง ถ้าไม่เคยก็อาจจะต้องหาวิธีที่มันทำให้เราไปสู่จุดมุ่งหมายที่เข้าใจกัน เข้าใจความแตกต่างทางการเมืองต่อไป
เราคาดหวังให้สุดท้ายแล้วคนเรากล้าที่จะลุกขึ้นมาพูดความคิดของตัวเองถึงแม้ว่าสังคมเราจะพยายามปิดปากเรา หรือเราจะปิดปากตัวเอง แต่สุดท้ายเราก็ต้องลุกขึ้นมาอยู่ดี
