ให้บทเพลงบอกรักคุณเบาๆ ไปกับละครเรื่อง Cupid's Arrow

Talkative

"ละครเรื่องนี้เป็นละครที่มันพัฒนามาจากมิวสิคัล ละครวิทยุ แล้วก็ละครที่เป็นดรามาติกแบบนี้ ละครโรงเล็ก มารวมกันเนี่ย มันจะสามารถมาเป็นรูปแบบไหนได้บ้าง โดยที่เนื้อสารไม่ได้เสพยาก พูดถึงเรื่องความรัก มุมมองของความรักเท่านั้นเอง" ไมค์-พันธกิจ หลิมเทียนลี้ นิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

ACT4HEALTH Cupid's Arrow

จริงๆ ได้คอนเซปต์มาจากการหาเรื่องที่มันใกล้ตัวที่สุด ก็คือเรื่องของความรักในวัยรุ่นอะไรอย่างนี้ จริงๆ แล้วเราสนใจว่าละครโรงเล็กจำเป็นต้องดูยากไหม ถ้ามันดูง่ายมันจะเป็นยังไง แล้วมิวสิคัล จำเป็นต้องเป็นมิวสิคัลที่อยู่ในโรงใหญ่ไหม เราก็เลยเอาคอนเสปต์นี้มาลองจับไว้ก่อนอย่างแรก แล้วพอเวลาผ่านไป เรื่องของความรักนี่มันสามารถเล่าผ่านอะไรได้บ้าง มันก็เลยทำให้เรานึกย้อนไปถึงละครวิทยุสมัยก่อน ที่เป็นละครวิทยุทรานซิสเตอร์ที่แบบ คนผลัดกันเข้าไปก็ฟังแล้วก็รู้เรื่องอย่างนี้ ก็เลยคิดว่า ถ้าเกิดเราทำละครที่มันพัฒนามาจากมิวสิคัล ละครวิทยุ แล้วก็ละครที่เป็นดรามาติกแบบนี้ละครโรงเล็กมารวมกันมันจะสามารถมาเป็นรูปแบบไหนได้บ้าง โดยที่เนื้อสารไม่ได้เสพยาก พูดถึงความรัก มุมมองของความรักแค่นั้นเองอะไรประมาณนี้ ก็เลยเป็นงานแบบนี้ขึ้นมา ซึ่งมันก็ยังอยู่ในช่วงพัฒนาก็ยังต้องทำให้มันดีขึ้นต่อไป

ACT4HEALTH Cupid's Arrow

ความพิเศษของมันคือมันเป็นละครวิทยุ คนตาบอดสามารถดูได้แน่นอน และจะเห็นภาพเหมือนกับที่คนที่ตาดีไม่ได้ห่างกันมากเพราะสุดท้ายแล้ว เราเน้นที่เสียงเป็นหลัก ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าอาจจะไม่ได้ไปไกลเท่ากับภาพในจินตนาการของผู้ชมเอง

ACT4HEALTH Cupid's Arrow

พูดว่าเป็นละครแมส อะไรที่มันเข้าถึงง่ายมันคือเรื่องของความรัก มัน Universal จริงๆ อย่างที่บอกก็คือ ทุกคนมีความรัก ทุกคนมีมุมมองด้านนี้ แต่ว่าในมุมมองที่ไม่ใช่คนบ้างล่ะ แล้วถ้าเกิดว่าเขาถูกมองว่าเป็นเทพอย่างนี้ มันจะเกิดความรักอย่างนั้นได้ไหม แล้วก็สะท้อนไปด้วยว่า จริงๆ แล้วความรักของแต่ละคนมันเป็นไง มันก็เลยทำให้เพลงหลายๆเพลงที่มีอยูในเรื่องมันเข้าไปหาคนดู เพราะว่ามันมีส่วนร่วมด้วยกัน รวมถึงละครก็ใช้วิธีการแบบ ทำลายกำแพงที่ 4 ไป เพื่อให้คนดูเข้ามาเล่นได้ มีโอกาสโต้ตอบอะไรอย่างนี้

ACT4HEALTH Cupid's Arrow

ตั้งแต่ละครสมัย มัธยม 6 ก็ค่อนข้างมาไกล เพราะตอนนั้นเรายังเด็กแล้วก็มีโอกาสได้ดูละครน้อย พอเรามาอยู่ในสายงานละครจริงๆ แล้วเนี่ย ละครมันไม่จำเป็นจะต้องยึดติดอยู่กับโรงใหญ่ๆ ก็ได้ หรือไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับบทที่เข้มข้น นักแสดงต้องเล่นเป็นละครอะไรอย่างนี้ พอเราใช้เวลาหลายปี 3 ปี อยู่ปี 3 มันทำให้เราเห็นเลยว่าละครมันมีเยอะมาก มันมีวิธีการเล่ามากมาย ถ้าถามว่ามาไกลไหม มันไกลในฐานะของการทำงานกับมนุษย์ สิ่งนี้มันสำคัญมาก เพราะว่า สมัย ม.6 เราก็ทะเลาะกับเพื่อน อันนี้ไม่ดี มันต้องเป็นอย่างนี้ อย่างโน้นอย่างนี้ แต่พอเวลาผ่านมา มันทำให้เราเห็นเลยว่าจริงๆ แล้ว ละครไม่สำคัญเท่ากับทำงานกับคน ทำงานกับคนสำคัญมาก กอไก่ล้านตัว ซึ่งถ้าทำงานกับคนได้เนี่ยละครมันก็จะพัฒนาไปมากกว่าเก่า มันเลยทำให้ละครเรื่องนี้ไม่เหมื่อนกับละครสมัย ม.6 เลย ที่เราทำเรื่อง 'กาลเดินทาง' สมัยละครประมวญ 14 ตอนนั้นเป็นนักแสดงสมทบด้วย มันต่างกันมากเพราะว่าเราคิดในไอเดียเอาคนดูเป็นหลัก แต่ตอนนั้นคือเราเอาตัวนักเรียนเองเป็นหลักคือทำงานแล้วเกิดกระบวนการในการฝึกงาน แต่อันนี้คือนอกจากจะฝึกข้างในของบุคลากรเราแล้ว คนดูต้องได้อะไรกลับไปด้วย ฉะนั้นมันเลยท้าทายว่ามันเอื้อประโยชน์แก่ใคร คนตาบอดไหม คนทั่วไปไหม หรือว่าคนดูเสร็จแล้วได้สะท้อนอะไรบ้าง มันอาจไม่ใช่เรื่องที่แบบกลับไปแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบฉันคิดได้ว่า ฉันจะต้องเปลี่ยนตัวเองอย่างนี้ ไม่ใช่ อาจจะแค่เป็นแบบสะกิดเล็กๆ ก็พอ ละครทำหน้าที่แค่นั้นก็ถือว่าคุ้มมากแล้วครับ

ACT4HEALTH Cupid's Arrow

ก้าวต่อไป จริงๆ มาอยู่ตรงนี้คืออยากทำงานด้านเขียนบทละคร ภาพยนตร์อะไรอย่างนี้อยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าอยากลองทำละครหลายๆรูปแบบดู เพื่อจะเอาไปเป็นวัตถุดิบ ก็เหมือนเรามีวัตถุดิบดีๆเอามาทำต่อ

MORE READ
COMMENT