จากซีรีส์คอเมดีสุดฮิต อย่าง ไดอารีตุ๊ดซี่ส์ ที่มีให้ได้ชมกันถึง 2 ซีซัน มาสู่การเป็นภาพยนตร์ที่จะทำให้ทุกคนที่ได้ดูต้องร้องว่า #ตุ๊ดซี่ส์ตลกมากแม่ เพราะทีมผู้สร้างการรันตีเอาไว้ว่านี่จะเป็นหนังที่สร้างเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันแบบสุดๆ ส่งท้ายปี 2562 ซึ่งก็มีงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ Quartier Gallery ชั้น M ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ โดยครั้งนี้ทีมข่าวบันเทิงบูมแชนแนลก็มีโอกาสไปร่วมงาน และเก็บเนื้อหาบางส่วนมาฝากกันด้วย
ถ้าใครที่ได้ติดตาม ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ ซีซันที่ 2 ซึ่งออกอากาศในวันที่ 29 เมษายน 2560 เป็นตอนสุดท้าย ในฉากที่แก๊งตุ๊ดซี่ส์โอบกอดกัน นั่นอาจเป็นกอดสุดท้ายในฐานะเพื่อนตุ๊ด ไม่มีใครคิดว่า เพชร เผ่าเพชร และคิม รัฐนันท์ จะต้องกลับมารับบทเพื่อนสาวอีกครั้ง พวกเขาจึงกลับไปใช้ชีวิตแบบแมนๆ ไว้หนวด เล่นกล้าม ส่วน กอล์ฟ ธงชัย ก็กลับไปขายเสื้อผ้าตามอย่างที่ถนัด มีเพียงแค่สาวพีค ภัทรศยา ที่ยังคงติดใจในบทบาทของ แน็ตตี้ หรืออีแหนด เลยขอสร้างแฮชแท็คของตัวเอง อย่าง #ก็พีคชอบรีวิวค่ะซิส พร้อมกับรีวิวสิ่งต่างๆ ลงอินสตาแกรมของตัวเอง
วันหนึ่งสิ่งที่ไม่คาดคิดนั้นก็เกิดขึ้น เมื่อทั้ง 4 ถูกเรียกให้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อสร้างความสนุกบนจอที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แต่ด้วยความที่ห่างหายไปซะนาน ทำให้พวกเขาจดจำคาแรคเตอร์ของตัวเองแทบจะไม่ได้ หนำซ้ำยังต้องมาป๊ะกับซุป'ตาร์ตัวแม่ของวงการ อย่าง ชมพู่ อารยา ที่ก็ต้องเปลี่ยนตัวเองกันยกใหญ่เช่นกัน กลางวันไปเดินพรมแดง กลางคืนก็ซ้อมเป็นแม่ค้าขายอาหารตามสั่ง จากคนที่ไม่เคยทำกับข้าว จะต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อดึงความต่ำตมออกมาให้ได้เห็นมากที่สุดในเรื่องนี้ นอกจากนั้นขุ่นแม่ยังต้องถูกแปลงโฉม เพื่อเปลี่ยนเป็นคนใหม่ในแบบที่เราไม่เคยมาก่อนอีกด้วย
'วรรณ วรรณฤดี โปรดิวเซอร์' เล่าให้ฟังถึงที่มาของการทำงานในเรื่องนี้ให้ฟังว่า จากเดิมก็เป็นแฟนที่ชอบดูซีรีส์เรื่องนี้อยู่แล้วทั้ง 2 ซีซัน ไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับโปรเจกต์นี้ พอได้ยินแว่วๆ มาว่าทีมงานจะไม่ทำภาคต่อๆ ไปแล้ว ก็เลยรู้สึกคิดถึงและเสียดายความเป็นคาแรคเตอร์ของทั้ง 4 ตัวละครที่ไม่ได้หาง่ายๆ ในวงการซีรีส์ หรือหนังบ้านเรา พอมารวมกับนักแสดงที่ แจน ภุชงค์ โปรดิวเซอร์ และเติ้ล กิตติภัค แคสต์มามันเป็นการเจอกันที่โคตรมหัศจรรย์ ก็เลยคิดเป็นกุศโลบายว่า ถ้าไม่ทำเป็นซีรีส์ก็มาทำเป็นหนังแล้วกัน เขาอาจจะรู้สึกตื่นเต้น แปลกใหม่ อยากรู้อยากเห็น แล้วก็หลงกลมาทำ สุดท้ายพอติดต่อไปเขาก็โอเคที่จะมาทำเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยกัน
'แจน ภุชงค์' เป็นอีกหนึ่งโปรดิวเซอร์ที่ทำงานในโปรเจกต์นี้ ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับฉายาว่าเป็น 'ศรราม 2' แต่ก็มีความชื่นชอบในการอ่านเรื่องราว 'บันทึกของตุ๊ด' ที่เขียนโดย 'คุณช่า' เป็นอย่างมาก จนเกิดเป็นแรงบันดาลใจที่จะทำเป็นซีรีส์ถึง 2 ซีซัน คราวนี้เมื่อกลายมาเป็นภาพยนตร์สิ่งหนึ่งที่ยังคงยึดไว้ คือ เรื่องราวที่ถูกเล่าอยู่ในเพจ ทีมยังคงให้คุณช่ามาเป็นที่ปรึกษาในเรื่องของคาแรคเตอร์เช่นเดิม สนุกและมีสีสันเหมือนเดิม ส่วนสิ่งที่จะแตกต่างออกไปก็คงจะเป็นการที่ตัวละครเติบโตขึ้น ได้เจอเรื่องราวที่วายป่วงมากยิ่งขึ้น มีอะไรในชีวิตที่ต้องสินใจใหญ่โตขึ้นกว่าสมัยเป็นซีรีส์ ที่สำคัญ พวกเขาจะต้องปะทะฝีมือกับนักแสดงเบอร์ใหญ่ๆ มากขึ้น ซึ่งนักแสดงรับเชิญก็เป็นส่วนหนึ่งที่ตุ๊ดซี่ส์มีความโดดเด่น
นี่เป็นอีกอย่างที่คอหนังกังวลใจหากไม่ได้ดูเวอร์ชันที่เป็นซีรีส์มาก่อน แล้วต้องเป็นดูฉบับที่เป็นหนังจะเกิดความ งง งวย หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ วรรณ วรรณฤดี ก็ได้ให้คำตอบว่า นี่เป็นสิ่งที่เราเตรียมความพร้อมมาตั้งแต่ต้นหากใครที่ไม่ได้เป็นคอซีรีส์ตั้งแต่ช่วงที่โปรดิวซ์ เพราะ แจน ภุชงค์ และเติ้ล กิตติภัค นี่จะรู้ดีในมากในเรื่องของซีรีส์ โดยส่วนตัวแล้วชอบดูก็เลยรู้เรื่อง ส่วนพี่เก้งนี่เป็นคนที่ไม่ดูซีรีส์ ก็เลยห้ามพี่เก้งไม่ให้ดูซีรีส์เรื่องนี้ก่อนเพื่อเอาไว้วัดว่า แม้จะไม่เคยดูซีรีส์เลยก็ต้องเข้าใจเนื่อเรื่อง รู้สึกสนุกมาก ไม่มีอะไรทำให้ งง พอตุ๊ดซี่ส์ได้ขึ้นมาเป็นหนังแล้ว ก็มีอะไรที่พิเศษมากขึ้น ทีมงานและนักแสดงได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน อลังการมากกว่า และจะสนุกมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
'เติ้ล กิตติภัค' หรือในชื่อเดิม คือ 'เติ้ล ปิยะชาติ' เขาได้รับหน้าที่ในการเขียนบท ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ ทั้ง 2 ซีซัน ทั้งยังทำหน้าที่กำกับทั้ง 2 ภาคอีกด้วย และล่าสุดกับการเข้ามาทำงานและกำกับ ตุ๊ดซี่ส์ แอนด์ เดอะเฟค ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่แปลกใหม่ เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่ทำงานมาไม่เคยมีความฝัน หรือต้องทำงานในสายกำกับมาก่อน พอได้มาทำซีรีส์ก็แค่สนุกที่จะทำ มีเรื่องที่จะเล่า ได้ลองทำอะไรลองผิดลองถูกไปเรื่อย ก็ไม่รู้ว่าเข้าขั้นมีมาตรฐาน หรือมีคุณภาพอะไรอย่างนี้รึเปล่า แต่ก็ขอบคุณที่คนดูดันชอบและอินไปกับมัน
มีอยู่วันหนึ่ง แจน ภุชงค์ เดินมาบอกกับเจ้าตัวว่า พี่วรรณ พี่เก้ง อยากคุยด้วย เรื่องที่จะเอาตุ๊ดซี่ส์ไปทำเป็นหนัง เราก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่มด ปลวก ที่เขียนบทบ้างอยู่ในนี้ ไม่เคยมีความฝันที่อยากจะเป็นผู้กำกับ คือไม่ได้อยู่ในหัวเลย พอวันหนึ่งมีโอกาสเข้ามา นั่นอาจหมายความว่าผู้ใหญ่คงจะเห็นอะไรในตัวเรา แล้วเขาก็ให้เกียรติโดยการที่ชวนเราไปทำหนัง ซึ่งก็รู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ไม่ควรปฏิเสธ มันเป็นเกียรติเป็นศรีในชีวิต ถ้าถามว่าเป็นคนที่มีความสามารถแล้วรึยังในตอนนั้นก็ไม่รู้ แค่รู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดี มันเป็นเรื่องท้าทายที่ควรต้องทำ เลยคิดว่าไปตายเอาดาบหน้าก็แล้วกัน ไม่รู้ว่ามันจะดี หรือไม่ดียังไง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องคอยบอกกับตัวเองอยู่เสมอ คือ เราจะทำทุกอย่างไม่ให้เข้าเจ๊ง อันนี้พูดกันตามตรง เราจะไม่ทำให้เขาผิดหวังที่เขาอุตส่าห์เลือกเราและให้โอกาสเรา
นอกจากนักแสดงขาประจำที่คนดูจะได้เห็นกันในหนังเรื่องนี้แล้ว เติ้ล กิตติภัค ยังบอกให้ฟังว่า พอตุ๊ดซี่ส์ขึ้นมาเป็นภาพยนตร์ ก็ยังจะได้ตัวแม่ของวงการเข้ามาฟาดในเรื่องนี้ด้วย อย่าง 'ชมพู่ อารยา' เพราะเป็นความตั้งใจที่คิดเอาไว้กันตั้งแต่แรก เนื่องจากสิ่งหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ คือ นักแสดงรับเชิญที่เรามักจะเชิญมา Featuring ด้วย พอเป็นหนังทั้งทีและไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ทำหนังอีกรึเปล่า เลยขอเล่นตัวแม่เลยแล้วกัน ซึ่งตัวเราเองมีความต้องการอยากจะได้คนที่เป็น Diva แล้วก็อยากจะเห็นคาแรคเตอร์ที่พลิกจากฟ้าลงมาเหว ดึงลงไปให้ต่ำที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
การที่ได้ ชมพู่ อารยา มาร่วมแสดงถือเป็นความท้าทายในแง่ของการแสดง ซึ่งตอนที่กำลังมองหามันก็เป็นจังหวะที่เห็น ชมพู่ กำลังเดินอยู่บนพรมแดง ตอนนั้นบทที่ต้องการมันจะมีความเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ทำให้คนดูรู้สึกได้ว่านี่คือตัวแม่ของวงการบันเทิงโดยไม่มีข้อกังขา แต่ในขณะเดียวกันคนที่มารับบทนี้ก็จะต้องทำอะไรที่ดูดิบ เถื่อน เหมือนแม่ค้าข้างถนนได้ เป็นแบบที่ดิบจริงๆ ไม่ใช่ฟีลโรแมนติกคอเมดี มันต้องมาจากอินเนอร์ข้างใน แล้วคือตอนนั้นชมพู่กำลังเดินพรมแดงอยู่ที่คานส์ งามสง่าแบบแตะไม่ได้เลย
สุดท้ายพอผู้กำกับได้มีโอกาสไปเจอกัน คุยกันอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง ชมพู่ก็ตกลงรับเล่น และไม่คิดว่านี่จะเป็นเรื่องเสียหาย มันไม่ใช่ตัวเรา มันคือนักแสดง สิ่งที่เห็นก็คือการแสดง นักแสดงฝรั่งส่วนใหญ่ก็ทำแบบนี้ เลยคิดว่านี่แหละ คือ เจ๊น้ำและเคที่ที่กำลังตามหากันอยู่ จริงๆ ตอนแรกก็ตาเหลือกกันมากว่านางจะรับรึเปล่า ผู้ใหญ่ก็ยังบอกด้วยว่าอย่าเลย อย่าเสียเวลา แต่เติ้ลเองก็อยากลอง ถ้าไม่คุยกับเขาเราก็จะไม่รู้ ท้ายที่สุดเจ้าตัวก็รับที่จะมาแสดงในเรื่องนี้
ชมพู่ อารยา เล่าให้ฟังว่า ตอนที่เติ้ล กิตติภัค นัดเจอนั้น เขาก็มาเล่าบทให้ฟังที่บ้าน ซึ่งส่วนตัวพอฟังจบแล้วก็รู้สึกว่ามันสนุกดี ไม่ได้ไกลตัวเท่าไหร่ เพราะโดยส่วนตัวแล้วก็ไม่ใช่คนที่เรียบร้อยอะไรขนาดนั้น มีเพื่อนที่เป็นกะเทยก็เยอะ แต่จริงๆ ก็รู้สึกว่ามันท้าทายไปหน่อย พอตกลงรับเล่นปุ๊บก็มีการขอคิวสำหรับเข้าเวิร์คช็อปกันแบบด่วนๆ บทหลักๆ ก็จะเป็นเจ๊น้ำ เป็นแม่ค้าขายข้าวผัดผงกระหรี่อยู่ที่คลองหลอด มีการติวเข้มเป็นพิเศษ พอได้ลองเข้าบทแล้วมันก็ยังห่างจากสิ่งที่ควรจะเป็นอยู่มาก ผู้กำกับก็มีความเป็นห่วง ด้วยเวลาที่ค่อนข้างจำกัดตั้งแต่วันที่ได้รับบทมามีเวลาที่ค่อนข้างจำกัด ต้องไปงานอื่นที่รับเอาไว้ด้วย เลยมีความกังวลว่าตัวเองจะลืมคาแรคเตอร์ของเจ๊น้ำ
เติ้ล ผู้กำกับของเราพูดเสริมอีกว่า อย่างที่เห็นๆ กันว่าแต่ละงานที่ชมพู่ไปนั้น ไม่ว่าจะเป็น Fashion Week ไปเดินพรมแดงที่นั่นที่นี่ มันเป็นอะไรที่อยู่กับคนละโลกกับเจ๊น้ำมากๆ เลยต้องพยายามบอกอยู่เสมอว่า อย่าลืมเจ๊น้ำนะ ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องมีการปลูกฝังยีนความต่ำให้ชมพู่ทุกวัน ส่วนชมพู่ก็เล่าต่อว่า ก็จะมีการ Remind อยู่เรื่อยๆ ถึงสิ่งที่ได้ไปเวิร์คช็อปมา ต้องมีการส่งการบ้านกับครูเงาะ แล้วก็จะมีคอมเมนต์เพื่อให้ปรับปรุงตรงนั้นตรงนี้ให้ต่ำลงไปอีก ซึ่งในคาแรคเตอร์ของการเป็นเจ๊น้ำ มันเป็นการรวมเอาความเด็ดของแม่ค้ามาใส่ไว้ในคนๆ เดียว แค่เถื่อน ดิบเฉยๆ คงจะยังไม่พอ
ท้ายที่สุด ผู้ชม หรือแฟนๆ ของชมพู่ อารยา จะได้เห็นความแปลกใหม่จากสิ่งที่เปลี่ยนไปในการเข้ามารับบทนี้ เปลี่ยนตั้งแต่ลมหายใจ ติดเขี้ยว ใส่หูปลอม ท่วงท่า การเดิน วิธีพูด ซึ่งผู้กำกับก็การันตีว่าจะทำให้ทุกคนได้เห็นชมพู่ในแบบที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนจริงๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ตุ๊ดซี่ส์ แอนด์ เดอะเฟค ไปหัวเราะพร้อมกัน 5 ธันวาคม ในโรงภาพยนตร์
ตัวอย่าง ตุ๊ดซี่ส์ แอนด์ เดอะเฟค
ภาพประกอบ เฟซบุ๊ก ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์